เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ต.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เรามาสร้างบุญกุศลกัน เรามาสร้างบุญกุศลเพราะจิตใจเราเป็นธรรม จิตใจของเราเป็นชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธ เวลาเข้าพรรษา หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ถ้าเราเข้าพรรษา อธิษฐาน แม้แต่ใส่บาตรองค์เดียวก็ยังดี ทำให้มันเป็นความเคยชิน องค์เดียวก็ดี องค์เดียวก็พอ ถ้าองค์เดียว ทำให้มันเคยชิน เห็นไหม เราอธิษฐานของเรา

ถ้าเราจะเสียสละ ถ้าเราทำของเราได้ การทำของเราได้ เห็นไหม เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเราหาเงินมาได้ ๑ บาท เราจะใช้สอยเพื่อตนเอง ๑ สลึง เราจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ของเรา ๑ สลึง เราจะลงทุนกิจการต่างๆ ทำหน้าที่การงานของเราอีก ๑ สลึง ที่เหลือเราฝังดินไว้

คำว่า “ฝังดินไว้” ฝังไว้ในศาสนา คำว่า “ฝังดินไว้” เราฝังดินไว้เป็นของใคร เราเป็นคนฝังใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญพระวันละ ๑ องค์ก็ยังดี ทำสิ่งใดมากน้อยขนาดไหนก็ยังดี ถ้าเราทำไม่ได้นะ ให้อนุโมทนา เราเห็นเขาทำกัน เห็นพระเห็นเจ้า เราเคยเห็นนะ เรามองพระที่บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านตอนเป็นเด็กๆ “เขาทำอะไรกัน เขาทำอะไรกัน” คิดในใจ เขาทำอย่างไรกัน ชีวิตเขาดำรงอย่างไร เขาอยู่อย่างไร

ถ้าเขาอยู่อย่างไร เขาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ความเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เดินไปนี่ภิกขาจาร เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนาไว้ให้ฆราวาสญาติโยม เช้าขึ้นมาเราได้หุงหาอาหารของเรามื้อเช้า เราตักข้าวปากหม้อใส่บาตร เวลาเราหุงหาอาหาร เราหุงหาอาหารเพื่อดำรงชีวิตของเรานะ เราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย พระท่านเสียสละมาจากทางโลก ท่านเสียสละมา ท่านไม่มีอาชีพ เช้าขึ้นมาท่านภิกขาจารเพื่อดำรงชีวิตของท่าน เราเสียสละเพื่อให้ท่านดำรงชีวิตของท่าน เพื่อให้ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ถ้าท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สังคมมันบาลานซ์กัน มันบาลานซ์เพราะว่ามันตรวจสอบกัน

ถ้าเรามีการเสียสละ เรามีน้ำใจต่อนักพรต นักพรตเขาก็ภาวนาของเขา เขาก็ค้นคว้าในใจของเขา ถ้าเขามีคุณธรรมในใจของเขา เวลาเราทุกข์เรายาก เราก็ไปกราบเรียนท่านไง ทำไมหัวใจเรามันทุกข์มันยากขนาดนี้ ทำไมหัวใจเรามันคับแค้นในใจขนาดนี้ เราก็ทำคุณงามความดีมามหาศาลนะ ศาสนาพุทธบอกทำความดีต้องได้ดี เราก็ทำดีของเราตลอดมา ทำไมเราทุกข์ยากขนาดนี้ นักพรตที่เขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นักพรตเขาต้องปฏิบัติในหัวใจของเขา

ปฏิสนธิจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นภพเป็นชาติของมันมา แต่ละชั้นแต่ละตอน เห็นไหม กรรมเป็นอจินไตย กรรมเป็นอจินไตย ใครทำเวรทำกรรมสิ่งใดมา กรรมสิ่งนั้นเวลามันให้ผล แต่เวลาเราศึกษากันเอง เห็นไหม แก้กรรมๆ เราจะแก้กรรมๆ แก้ให้มันดี

แก้กรรมก็ทำคุณงามความดีนี่ไง นักพรตท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ท่านเห็นกรรมเก่ากรรมใหม่นะ เวลาเวรกรรมที่มันให้ผล เห็นไหม พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มีเดชเหาะเหินเดินฟ้าได้ ใครจะมาทำสิ่งใดรู้ทันไปหมดแหละ ลัทธิต่างๆ เขาจ้างคนมาฆ่า มาครั้งที่ ๑ ท่านก็รู้ ท่านก็เหาะหนีซะ พอครั้งที่ ๒ มาอีก เขาก็จะมาลอบฆ่า ท่านก็เหาะหนีซะ ท่านมีฤทธิ์มีเดชทั้งนั้นแหละ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย

แต่ถึงเวลาถึงที่สุดแล้วมันไม่จบไม่สิ้น ไม่จบไม่สิ้นที่เขานะ ไม่จบไม่สิ้นเพราะว่าพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ จิตใจไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จิตใจรู้ถึงวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิด รู้หมดแล้ว แล้วมันไม่สิ้นได้อย่างไร

มันสิ้นกิเลสในใจของพระโมคคัลลานะ แต่มันไม่สิ้นเศษกรรมที่เขาหมายมั่นกันมา เห็นไหม กำหนดดู “อ้อ! มันเป็นกรรมของเรา” ทนให้เขาทุบจนตาย สุดท้ายแล้วด้วยใจที่บริสุทธิ์ ไม่มีความหวั่นไหว ถ้ามีความหวั่นไหว จิตมันรวมร่างกายนั้นกลับมาเป็นปกติไม่ได้ รวมร่างกายนี้เป็นปกติด้วยฤทธิ์ด้วยเดชทั้งนั้นแหละ เขาทุบจนแหลก รวมขึ้นมาเป็นร่างกายปกติ นี่เหาะ เหาะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะนิพพานไปโดยตัวเองมันก็ไม่สมควร ไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เออ! แล้วแต่สมควรเวลาของเธอเถิด แล้วก่อนที่เธอจะไปนะ เธอก็แสดงธรรมให้ลูกน้องฟัง”

เหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมาก็เทศน์ เหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมาก็เทศน์ เสร็จแล้วลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระว่าใครจะไปส่งพระโมคคัลลานะก็ได้ เหาะกลับไปที่เดิม คลายฤทธิ์นั้นออก

เขาก็ถาม อัครสาวกเบื้องซ้ายเหาะเหินก็ได้ หนีก็ได้ ทำไมปล่อยให้เขาทุบตาย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเวรกรรมเก่าของเขา ชาติหนึ่งเป็นความปรารถนาของพ่อแม่ พ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีเหย้ามีเรือน ไม่ต้องการนะ แม่ตาบอด อยากให้ลูกมีเหย้ามีเรือน ก็พยายามจะหาคู่ให้ ลูกก็ปฏิเสธ รักแม่ๆ แต่สุดท้ายแล้วแม่ก็อยากให้ลูกเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ก็ไปหาสะใภ้มาให้กับลูก

สะใภ้มา แม่ตาบอดก็ขี้เกียจอุปัฏฐากไง เช้าขึ้นมากินข้าว ป้อนอาหารเสร็จแล้วก็ทำเรี่ยราดไว้ บอกมีปัญหาไปหมด ทั้งๆ ที่แม่ลูกรักกันมากนะ แต่พอเอาสะใภ้เข้ามา สะใภ้อยากสะดวกสบาย เป่าหูทุกวันแหละ เป่าทุกวันแหละ เป่าทุกวัน คนรักๆ คนผูกพัน สุดท้ายนะ ตัดสินใจจะเอาแม่ไปฆ่า ก็บอกว่าจะพาแม่ไปเพราะตัดปัญหา เอาแม่ไปส่งบ้านญาติ พอไปถึงกลางทาง ให้แม่จับเชือกไว้ จับเกวียนไง ตัวเองก็ลงไปข้างทาง พอลงไปข้างทางก็ปลอมเป็นโจร ทำเอะอะมะเทิ่ง ปล้นๆ ก็ตัวเองก็มาทุบ มาทุบแม่

พอทุบไปแล้วนะ แม่ก็เป็นห่วงลูกใช่ไหม “ลูกหนีนะ โจรมันปล้น โจรมันจะทำลายแม่นะ ลูกหนีไป” ทุบอยู่ แล้วแม่พูดอย่างนั้นมันสะเทือนใจนะ คนมันดีอยู่แล้วโดยรากฐาน แต่มันไปโดนเป่าหู

“อ้าว! ไอ้โจรถอย ไอ้โจรถอย” ก็ถอยไปเลยนะ ก็ตัวเองนั่นแหละ เพราะแม่ตาบอด เพราะตัวเองอยู่กับแม่มา พอถอยไปแล้วกลับมา

“แม่ๆๆ เป็นอะไร” กลับมานะ แม่เจ็บหนัก พาแม่กลับบ้าน

เวลามันมีภัยวิกฤติขึ้นมา แม่ยังรักเรา แม่ยังคิดถึงเรานะ แม่ยังห่วงเรา “ลูกหนีไปนะ แม่ยอมรับ ลูกหนีไป” สุดท้ายคิดได้ก็เอากลับ พอกลับมามันเจ็บหนักก็เลยเสีย แม่ตาย ตัวเองก็อยู่กับครอบครัวนั่นน่ะ ตายไปตกนกอเวจี ตกนรกอเวจี ตกนรก ฆ่าแม่มันจะไปไหนล่ะ ตกนรกอเวจี

แล้วก็ผ่อนจากอเวจีขึ้นมา ได้ใช้เวรใช้กรรมขึ้นมา ใช้เวรใช้กรรมขึ้นมา จนมาคิดได้ มาสร้างคุณงามความดี มาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ แล้วเวลาคุณงามความดีก็มี นี่กรรมเป็นอจินไตย

ถึงเวลา เวลาพระโมคคัลลานะโดนทุบตาย ก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “มันเป็นอะไร พระอรหันต์น่ะ ทำไมให้เขาทุบตาย ทุบตาย มันเสียเกียรติศาสนา”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นโดยเวรโดยกรรม มันหนีกรรมกันไม่ได้”

เศษนะ เศษเหลือเล็กน้อย เศษของกรรม แต่ตัวจริงๆ มันน่ะ นรกอเวจีนู่น แล้วพ้นจากนรกอเวจีขึ้นมา ผ่อนขึ้นมาเป็นชั้นๆๆ ขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็บอกท่านก็เคยเป็น ก่อนที่จะปรารถนาเป็นพระโพธสัตว์ ท่านก็ผ่านนรกอเวจีมาหมดแล้วล่ะ แต่พอปรารถนาเป็นโพธิสัตว์ พอพระพุทธเจ้าพยากรณ์มันไปไม่ได้ นั่นน่ะพระโพธิสัตว์ ท่านมีอำนาจวาสนา จะไม่เกิดเล็กกว่านกกระจาบ ตัวเล็กขนาดนั้น แต่พวกเราเกิดเป็นเล็นเป็นไรเลย นี่ผลของวัฏฏะ

นี้พูดถึงคนที่หูตาสว่าง ถ้าหูตาสว่างมันเป็นแบบนั้น พูดถึงเวลาแก้กรรมๆ

ฉะนั้น เราทำบุญกุศลของเรา เราทำบุญกุศลของเราเพื่อบารมีธรรมของเรา บารมีคือที่ไหน? บารมีคือจิตใจมันเป็นสาธารณะ บารมีคือมันฟังเหตุผลต่างใช่ไหม ไม่ใช่ว่าเราจะคิดของเราแต่หน้าเดียว เราก็คิดของเราคนเดียว หน้าเดียว ว่าสิ่งนี้ถูกต้อง สิ่งนี้ถูกต้อง ทำคุณงามความดีแล้วก็บ่นว่าทำคุณงามความดีแล้วไม่ได้ดี ทุกคนบอกทำความดีแล้วไม่ได้ดี

แล้วความดีมันคืออะไรล่ะ ความดีคือลมปากคนใช่ไหม ให้คนบอกว่าเราเป็นคนดีใช่ไหม ก็จ้างบริษัทประชาสัมพันธ์สิ มันขึ้นป้ายให้เสร็จเลย เดี๋ยวขึ้นป้ายให้เรียบร้อย

คนดีต้องให้เขารับรองใช่ไหม คนดีต้องให้คนบอกเราเป็นคนดีใช่ไหม เราเป็นคนดีไม่ได้หรือ เราไม่มีสติหรือ เราไม่มีปัญญาหรือ

ถ้าเรามีสติปัญญา สิ่งที่เราเสียสละไปเราก็เสียสละไปเพื่อคุณงามความดีของเรา มันก็สะสมของมันไป สะสมของมันไป กลิ่นของศีลหอมทวนลมๆ เราทำคุณงามความดีของเรา เราทำดีของเรา

โดยธรรมชาติ ทำไมพระโมคคัลลานะโดนโจรทุบตาย ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมขึ้นมา มีคนเขาจ้างมาติมาเตียนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมีคนเห็นต่างไง ในโลกนี้มันทำให้คนมีความคิดเห็นตรงกันมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีหรอก คนที่มีความเห็นต่าง คนที่เขาคิด จิตใจของเขา เขาว่าความดีของเขา เขามาทำร้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาว่าเป็นความดีของเขา เห็นไหม เขาจ้างคนมาฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเขาว่าเป็นความดีของเขา เพราะเขาคิดอย่างนั้นเขาว่าเป็นความดีของเขา

แล้วบอกทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี

ถ้าทำดี ทำดีอย่างไรล่ะ ถ้าทำดีของเรา ทำดีเพื่อประโยชน์ของเรา นี่พูดถึงความดำรงชีวิตนะ แล้วของเราล่ะ เราดำรงชีวิตของเราแล้ว สิ่งที่ว่า เวลาว่าโลก ความสุข-ความทุกข์เป็นสุขเวทนา-ทุกขเวทนา แต่เวลาเราจะเอาความสุข-ความทุกข์จริงของเราล่ะ ความสุข-ความทุกข์จริง เห็นไหม เราทำหน้าที่บากบั่นนะ เราปากกัดตีนถีบทำหน้าที่การงานมาเพื่อความมั่นคงของชีวิต ถ้าความมั่นคงของชีวิตนะ เราต้องคิดถึงชีวิตของเราก่อน ถ้าคิดถึงชีวิตของเรานะ เราเลี้ยงชีวิตของเราไว้ แต่การเลี้ยงชีวิตมันก็ปัจจัยเครื่องอาศัย เราทำหน้าที่การงานของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรานะ แล้วถ้าประโยชน์กับเรา เรามีจิตใจเป็นธรรมมันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย ถ้าเป็นประโยชน์กับคนอื่น

ถ้าเราจะเอาอริยทรัพย์ล่ะ เราจะเอาความจริงของเราล่ะ

ถ้าความจริงของเรา “ทาน ศีล ภาวนา” เราจะสร้างบุญกุศลมามากน้อยขนาดไหน มหาศาลขนาดไหน พระสีวลีมีลาภน้อยกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสีวลีร่ำรวยมาก ไปที่ไหนมีแต่คนนับหน้าถือตา ไปที่ไหนมีแต่คนมาถวายของ นี่ท่านทำของท่านมา เวลาผู้ที่อัตคัดขาดแคลน พระอรหันต์ไม่เคยฉันข้าวอิ่มเลย นี่เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่เวลามันทุกข์มันยาก เวลาจะไปไหน เขาสร้างของเขามา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะทำบุญกุศลของเรามามากน้อยขนาดไหน ถึงที่สุดแล้วมันต้องมาภาวนา พระสีวลี ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งสอนมา ทุคตะเข็ญใจที่ว่าฉันข้าวไม่เคยอิ่มเลย พระพุทธเจ้าให้พระสารีบุตรเป็นคนสั่งสอนมา สั่งสอนมาเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน คำว่า “เป็นพระอรหันต์” ต้องมีมรรค มรรคคืออะไร? มรรคคือสติ สมาธิ ปัญญา เขาต้องมีปัญญาของเขา ถ้าไม่มีปัญญาของเขาเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร พระอรหันต์มันเกิดมาจากไหน

เราเข้าห้างสรรพสินค้า เราจะไปซื้อของเขา เราต้องเอาอะไรไปซื้อมา เราก็เอาสตางค์ไปซื้อมาใช่ไหม เราไม่มีสตางค์เข้าไป ไปหยิบของเขามาก็ไปปล้นไปจี้เขามา นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นมนุษย์ปุถุชน เราเป็นคนทุกข์คนยาก เราอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะเป็นคนดี เราจะเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี เราจะเอาอะไรเป็นมา มันก็ต้องเอามรรคเป็นมา เอาปัญญาเป็นมาใช่ไหม

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดมาจากไหน ศีล สมาธิ ปัญญาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไปศึกษามา เราไม่ซื้อในห้างสรรพสินค้า เราจะสร้างห้างสรรพสินค้าเองเลย เราจะมีสินค้าทุกอย่างในห้างสรรพสินค้าของเราเลย เราไม่ได้เป็นคนซื้อ เราจะเป็นคนขาย

แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกิริยาของธรรม เป็นกิริยาคืออาการ ใจที่มันเป็น พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บัญญัติสิ่งนี้ไว้ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็วางสิ่งนี้ไว้

เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริง จะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มันก็ต้องมีมรรคญาณ ต้องมีปัญญา มันต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญามันเกิดขึ้นมาจากการภาวนา มันจะเห็นต่างว่าโลกียปัญญาเป็นอย่างไร

โลกียปัญญา โดยสามัญสำนึกของเรา เราก็มีความรู้สึกนึกคิดใช่ไหม ความรู้สึกนึกคิดมันคิดดี เราวิจัย เราไตร่ตรองของเรา เราตรึกของเรามันก็เป็นปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันก็เป็นสุตมยปัญญา เป็นโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนี้เกิดจากสามัญสำนึกของเราไง มันไม่ใช่ปัญญาเกิดจากการภาวนา

ถ้าปัญญาที่เกิดจากการภาวนา เราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบแล้วเราเห็นว่า อ๋อ! อย่างนี้จิตใจมันสงบแล้ว สงบแล้วมันก็ปลอดโปร่ง มันปล่อยวาง ปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความเครียดในหัวใจขึ้นมามันก็เป็นสมาธิของมัน ศีล สมาธิไง ปัญญายังไม่เกิด ปัญญายังไม่เกิด ถ้ามันปล่อยวางเป็นปัญญาอบรมสมาธิก็ใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้ามา มันก็ปล่อยวางเป็นสมถะ เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิขึ้นมา เป็นสมาธิก็เป็นตัวตนของเราใช่ไหม ตัวตนมันก็ออกฝึกหัดค้นในอะไร? ค้นในที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มา ๖ ปี ศึกษาก็ศึกษาด้วยสมอง เห็นไหม นักเรียนนอก ดอกเตอร์ทั่วประเทศไทย มันก็ไปเรียนมาๆ อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเรียนมากับเจ้าลัทธิต่างๆ มา ๖ ปี ก็เรียนๆ มาอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่ใช่เป็นความจริงๆ ขึ้นมา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมากำหนดอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก นึกถึงโคนต้นหว้า จิตมันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามามันเอาอะไรไปเรียนล่ะ ที่ว่าลัทธิศาสนาอื่นไม่มีมรรคๆ ไม่มีมรรคก็ไม่มีภาวนามยปัญญานี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจิตสงบเข้ามาแล้ว มันออกรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่จิตสงบเฉยๆ นะ จิตสงบขึ้นมามันมีกำลังออกรู้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ดึงกลับมามันยังไม่เกิดมรรค เวลาจิตกลับมาสงบ ดึงกลับมานะ เวลามันไปอนาคต จุตูปปาตญาณ ดึงกลับมา เวลามันเกิดมรรคของมันขึ้นมาด้วยสัจจะความจริง

นี่ไง ศีล สมาธิ ปัญญาไง ลัทธิอื่นไม่มี ศาสนาอื่นไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเราเป็นพระอรหันต์ ปัญจวัคคีย์จะไม่ฟังนะ

“เราไม่เคยเป็น เราก็บอกไม่เคยเป็นใช่ไหม บัดนี้เราสิ้นกิเลส เราเป็นพระอรหันต์ เงี่ยหูลงฟัง เงี่ยหูลงฟัง จะบอก จะบอก”

นี่ไง ภาวนามยปัญญาอันนี้ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาวนาขึ้นมาเป็นความจริง พอความจริงขึ้นมา สัจจะความจริง นี่โลกุตตรปัญญา สิ่งที่ว่าปัญญาๆ ของเรา โลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากสามัญสำนึก ปัญญาเกิดจากความรู้สึกนึกคิด ปัญญาเกิดจากจินตนาการ มันมาจากไหนล่ะ ขอนไม้คิดได้ไหม แร่ธาตุคิดได้ไหม คนจะคิดได้ต้องมีจิต ต้องมีภวาสวะ ความคิดมันเกิดจากไหน? ความคิดมันเกิดจากจิต เราไม่รู้จักจิต รู้จักแต่ความคิด คิดอย่างนู้น คิดอย่างนี้ คิดอย่างนู้น อู๋ย! นึกว่าความคิดเป็นจิต นึกว่าอารมณ์เป็นจิต...มันไม่ใช่

ทำความสงบเข้าไปมันสักแต่ว่า โอ๊ะ! โอ๊ะ! นี่จิต แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นโดยสัจจะโดยความจริง แต่ตอนนี้มันวิปัสสนาของมัน เวลามันคลายตัวของมัน สิ่งนี้ต่างหากล่ะที่เราปรารถนากัน สิ่งนี้ต่างหากล่ะมันถึงเป็นภาวนามยปัญญา ดูสิ เขาไปซื้อขายกันในห้างสรรพสินค้า เราก็ว่าเราจะตั้งห้างสรรพสินค้าเองเลย เราไม่ต้องซื้อต้องขาย เราเป็นเจ้าของ แต่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีเหตุมีผล มันต้องมีผู้ที่เป็นผู้กระทำ

เวลาปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิด เรายังไม่รู้จักเลย เกิดมาก็เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดมาจากไหน? เกิดมาจากพ่อจากแม่ทั้งนั้นแหละ แต่เวรกรรมอย่างไรไม่รู้ เกิดจากพ่อจากแม่ แต่จิตมันสงบแล้วมันเกิดจากไหน กำเนิด ๔ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ ในครรภ์ กำเนิด ๔ มันเกิดมาจากไหน แล้วอะไรพาเกิด แล้วอะไรไปรื้อค้นมัน อะไรไปสำรอกมัน อะไรไปคายมัน ปัญญาอย่างนี้ที่เราปรารถนากัน เราปรารถนาวางพื้นฐานเลย แล้วเราจะพยายามประพฤติปฏิบัติ

ถ้าเรายังอยู่ทางโลก เราก็ทำบุญกุศลของเราเพื่อเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด เกิดมานี้เกิดด้วยมนุษย์สมบัติ เรามีสิทธิตามสิทธิในมนุษย์สมบัติ เราถึงได้มาเกิด แล้วถ้าไม่มีสิทธิอย่างนี้ นู่น เกิดในฟาร์ม เกิดในเดรัจฉาน ในกำเนิด ๔

การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แสนยากนะ แต่เราได้เกิดบ่อยๆ เพราะอะไร เพราะเราได้อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสำคัญตรงไหน? สำคัญตรงศีล ๕ ศีล ๕ นะ ปาณาติปาตาฯ อทินนาฯ กาเมฯ มุสาฯ สุราฯ นี่มนุษย์สมบัติ ศีล ๕ มนุษย์สมบัติ เราไม่เบียดเบียนเขา เราไม่ทำลายเขา เราไม่ลักของใคร สิ่งนี้แหละมนุษย์สมบัติ ศีล ๕ มนุษย์สมบัติ แล้วใครรักษาดี อายุยืนยาว บางคนเกิดมาตายในครรภ์ บางคนเกิดมาเด็กๆ ก็ตาย บางคนอายุ ๑๐๐-๒๐๐ ศีลนี้สำคัญ เพราะศีลนะ ถ้ามีทาน เกิดมามีพรรคมีพวก มีบารมี มีเพื่อนมีฝูง นี่ทำมาทั้งนั้นแหละ มันไม่ลอยมาจากฟ้า มันเป็นการทำมา แล้วใครเป็นคนทำ? จิตดวงนั้นทำ แต่เวลาเกิด เกิดจากพ่อจากแม่ แต่กรรมนั่นน่ะมันพาเกิด กรรมดีมันพาเกิด

ทำคุณงามความดีเพื่อเหตุนี้ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติของท่านถึงที่สุดของท่าน นั้นคืออำนาจวาสนาบารมีของท่าน นี่ปัญญาของท่าน ปัญญาของเราอยากทำอย่างนี้ แต่ก็บ่นนะ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี

ดีอะไร เอ็งรู้จักดีหรือ เอ็งรู้จักมันหรือว่าดีคืออะไร ดีด้วยแบงก์ใช่ไหม ดีด้วยให้เขายกย่องใช่ไหม ดีเพื่อให้เขานะ เขาทำได้ทั้งนั้นแหละ แบงก์ก็ปล้นธนาคารไง ยกย่องก็จ้างก็ได้ มวลชนจ้างมันก็ได้ ยกย่อง ก็ที่ปรึกษาจ้างมันมา อยากมีฤทธิ์มีเดชก็จ้างฝ่ายประชาสัมพันธ์มาทำเลย ฉายแสงเลเซอร์เลย ทำอย่างไรก็ได้ แต่ในใจมันเศร้าหมอง ใจมันรู้ ทำดีทำชั่วมันรู้ ความลับไม่มีในโลก ใครทำคนนั้นรู้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใจดวงนั้นรู้ เอวัง